อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเคยเป็นหนึ่งใน “ดาวเด่น” ของเอเชีย และเป็นกลจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน จากการเป็นฐานผลิตรถยนต์สันดาปรายใหญ่ของโลก ทว่ากระแสการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแรงกดดันด้านตลาดที่อ่อนตัวในประเทศ กลับกลายเป็นความท้าทายยักษ์ใหญ่ ที่กำลังสั่นคลอนฐานการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เดิม ในเวลาเดียวกัน ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ครองส่วนแบ่งการผลิตกว่า 80% ในไทยต่างกำลังปรับตัวตามทิศทางการเปลี่ยนผ่านพลังงานคาร์บอนต่ำ จึงเกิดคำถามใหญ่ว่า ไทยจะยังรักษาสถานะ “ฮับการผลิตรถยนต์” ของภูมิภาคไว้ได้อย่างไร
ยานยนต์ไทยขาลง : ตลาดหด-ยอดผลิตร่วง
ข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยระบุว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 การผลิตรถยนต์ในไทยลดลง 20.14% (YoY) ขณะที่การส่งออกลดลง 8.21% และยอดขายในประเทศก็หดตัวถึง 26% อีกทั้งการนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป (CBU) กลับเพิ่มขึ้น จึงกระทบโดยตรงต่อการผลิตและการจ้างงาน
ปัจจุบัน มีแรงงานในภาคยานยนต์ไทยกว่า 850,000 คน ข้อมูลจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ระบุว่า การสูญเสียกำลังผลิตของโรงงานบางแห่งและการปิดตัวของค่ายรถจะซ้ำเติมการว่างงานและกระทบเศรษฐกิจในวงกว้าง ดังตัวอย่างกรณี ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ที่เตรียมปิดโรงงานภายในสิ้นปี 2025 และ ซูบารุ ที่ตัดสินใจยุติการผลิตรถในไทยแล้วหันไปใช้การนำเข้าทั้งคันแทน
เมื่อโลก “เท” รถสันดาป : รถยนต์ไฟฟ้าจีน–ญี่ปุ่นดิ้นปรับตัว
แนวโน้มการเลิกใช้รถยนต์สันดาปสะท้อนผ่านการขยายตัวของตลาดรถอีวีและนโยบายหลายประเทศที่ผลักดันเทคโนโลยีไฟฟ้าเต็มตัว ผู้เล่นรายสำคัญอย่างค่ายจีนก็รุกตลาดทั่วโลก โดยอาศัยการผลิตภายในประเทศตัวเองเป็นหลัก ทำให้ไทยที่เคยเป็นฐานการผลิตรถญี่ปุ่นมีโอกาสสูญเสียส่วนแบ่งและการลงทุน ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนได้ทันเวลา
ฝ่ายญี่ปุ่นเองยังคงต้องการสานต่อความร่วมมือกับไทยอย่างเหนียวแน่น ดังจะเห็นได้จากข้อมูลของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) ที่ระบุว่า ไทยและญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรยาวนานกว่า 60 ปี บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากมาปักหลักลงทุนในไทยและมีส่วนสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานรถยนต์สันดาปที่แข็งแกร่ง ทว่าเมื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นเองก็ต้องอาศัยการปรับกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อรักษาฐานการผลิตในไทย
โจทย์ท้าทาย : ซัพพลายเชนเครื่องยนต์สันดาปอาจกลายเป็นจุดอ่อน
รถยนต์สันดาปใช้ชิ้นส่วนประมาณ 30,000 ชิ้นต่อคัน ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าใช้ไม่ถึง 3,000 ชิ้น ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยชี้ว่า หากรถสันดาปถูกแทนที่โดยรถอีวีเต็มรูปแบบ ผู้ผลิตชิ้นส่วนจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะความต้องการชิ้นส่วนเดิมมีแนวโน้มลดฮวบถึงร้อยละ 90
ในเวทีเสวนาเกี่ยวกับทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ผู้บริหารระดับสูงจากค่ายรถรายใหญ่และซัพพลายเออร์ต่างเห็นตรงกันว่า ความแข็งแกร่งของไทยด้านการผลิตชิ้นส่วนสันดาป กลับกลายเป็น “โจทย์ใหญ่” เมื่อถึงเวลาต้องแปลงโฉมสู่ EV ซึ่งมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ระบบแบตเตอรี่ มอเตอร์ไฟฟ้า และระบบซอฟต์แวร์ที่ต้องอาศัยการวิจัยพัฒนาสูง
ญี่ปุ่นพร้อมลงทุนต่อ : ไทยต้องยกระดับให้ทัน
ญี่ปุ่นยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยในการเป็นฐานการผลิตและส่งออก แต่การจะผลักดันให้ไทยรักษาสถานะ “ฮับยานยนต์” จำเป็นต้องปรับตัวทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น
- ตลาดในประเทศต้องแข็งแรง
ยอดขายรถที่ลดลงกระทบต่อแผนการลงทุนของค่ายรถ หากไม่มีตลาดในประเทศรองรับ ผู้ผลิตอาจพิจารณาย้ายฐานหรือชะลอโครงการใหม่ - หลากหลายแนวทางเพื่อการเปลี่ยนผ่านคาร์บอนต่ำ
ค่ายรถยนต์ส่วนหนึ่งมองว่าต้องใช้ “Multi Pathway” ไม่ใช่แค่รถอีวี 100% แต่รวมถึงรถไฮบริด Plug-in Hybrid การพัฒนา e-Fuel และไฮโดรเจน - การพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรม
ไทยยังต้องเร่ง “Upskill-Reskill” คนทำงานเดิม เพื่อรองรับการผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อนขึ้น เช่น แบตเตอรี่หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อีกทั้งต้องดึงดูดการลงทุนด้าน R&D เพื่อสร้างเทคโนโลยีภายในประเทศ - ปรับปรุงกฎหมายและโครงสร้างภาษี
ทั้งการสนับสนุนรถยนต์คาร์บอนต่ำ การลดภาษีให้ค่ายรถที่ลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ตลอดจนการหาทางจัดการ “รถยนต์หมดอายุใช้งาน” เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและกระตุ้นตลาดรถใหม่ - ร่วมมือไทย-ญี่ปุ่นในระบบนิเวศยานยนต์
ญี่ปุ่นผลักดันโครงการวิจัยต่าง ๆ เช่น การใช้พลังงานไฮโดรเจน น้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือก หรือ HVO และการรีไซเคิลยานยนต์อย่างจริงจัง พร้อมแบ่งปันเทคโนโลยี Industry 4.0 และ Lean Industrial แก่ผู้ผลิตไทย
ทางรอด : ปรับเร็ว รอดเร็ว
ผู้บริหารจากค่ายรถและหน่วยงานรัฐต่างเห็นตรงกันว่า การจะรักษาชื่อเสียงด้านการผลิตรถยนต์ไว้ได้ ไทยต้องปรับตัวทันกับเทคโนโลยี EV และโอกาสลงทุนใหม่ ๆ สิ่งสำคัญคือต้องไม่ทิ้งรากฐานเดิม แต่เสริมด้วยนวัตกรรมและระบบดิจิทัล รวมถึงปรับกติกาการค้าให้เท่าเทียมกับผู้นำเข้ารถยนต์สำเร็จรูป เพื่อกระตุ้นให้ภาคการผลิตในประเทศเดินหน้าต่อไป
หากไทยยังสามารถรักษาความเชื่อมั่นของผู้ผลิตต่างชาติ โดยเฉพาะค่ายญี่ปุ่น และร่วมมือในการพัฒนาซัพพลายเชนสู่รถยนต์พลังงานรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ยุคหลังสันดาปก็ยังคงอยู่ในมือไทย — แต่นั่นหมายถึงการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ทันเกม และทันกระแสโลกอย่างแท้จริง.
รอราคารถEv ก่านี้